Body Project Official

คาร์ดิโอ VS เวทเทรนนิ่งต่างกันอย่างไร

คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่เน้นการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ระบบเผาผลาญ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ยิ่งระบบโลหิตไหลเวียนดี เลือดก็สามารถไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้มากขึ้น และนำพาสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น วิตามิน และเกลือแร่ชนิดต่างๆ รวมไปถึงออกซิเจน ไปยังเซลล์ปลายทางได้ดียิ่งขึ้น เซลล์ก็แข็งแรงขึ้น ทำงานดีขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น และคาร์ดิโอนั้นช่วยลดไขมันโดยตรง

อะไรบ้างคือคาร์ดิโอ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เทนนิส HIIT หรือการออกกำลังกายชนิดใดๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นประมาณ 50-75% (หรือมากกว่า) ของอัตราการเต้นสูงสุดก็เหมารวมเป็นการคาร์ดิโอทั้งสิ้น ระยะเวลาในการคาร์ดิโอ ที่นักวิจัยด้านสุขภาพแนะนำ ขั้นต่ำคนทั่วไปต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 150 นาที / สัปดาห์ การคาร์ดิโอที่เหมาะสมไม่มีหลักการตายตัว ใครที่แข็งแรงมากๆ ก็สามารถคาร์ดิโอหนักๆ ได้ แต่ถ้าใครเจ็บป่วยหรือเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ควรจะเริ่มคาร์ดิโอเบาๆ เก็บชั่วโมงบินไปก่อนอย่าหักโหม แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มขึ้นในภายหลัง

เวทเทรนนิ่ง คือ การสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และกระดูก โดยการใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเพื่อให้ร่างกายเกิดแรงต้านทาน ไม่ว่าจะเป็นบาร์, ดัมเบล, Weight Machine, ยางยืดหรือแม้แต่น้ำหนักของตัวเองก็สามารถใช้ในการฝึกแรงต้านนี้ได้ เวทเทรนนิ่งช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อของคุณเพิ่มขึ้นก็จะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นตามไปด้วย (ซึ่งการเผาผลาญนี้จะเกิดขึ้นทั้งวัน แม้กระทั่งเวลาคุณนอนหลับ) และทำให้รูปร่างดีขึ้น บุคลิกภาพดีขึ้น ไม่ว่าจะลดหรือเพิ่มน้ำหนักก็ตาม

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปตามวัย การเผาผลาญพลังงานของร่างกายเริ่มช้าลง อาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก

ความแตกต่างระหว่างเวทเทรนนิ่ง VS ไม่เวทเทรนนิ่ง

ข่าวร้ายสำหรับคนที่ไม่ได้เวทเทรนนิ่งก็คือยิ่งอายุที่มากขึ้น คุณก็ยิ่งสูญเสียกล้ามเนื้อรวดเร็วมากขึ้น ระบบเผาผลาญต่ำลง คุณจะอ้วนง่ายขึ้น ซึ่งการเวทเทรนนิ่งคือ การบริหารกล้ามเนื้อ แต่ถ้าไม่เวทเทรนนิ่งเลย กล้ามเนื้อจะลีบเล็กลง ทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง สรุปคือ ถ้าไม่เวทเทรนนิ่งสุขภาพของคุณอ่อนแอลงเรื่อยๆ และนี่คือเหตุผลที่ทำไมคุณต้องเวทเทรนนิ่ง แม้บางคนจะไม่อยากมีกล้ามก็เพราะ

– รูปร่างดี หุ่นเฟิร์มกระชับ : การยกเวทจะทำให้หนุ่มๆ สาวๆ หุ่นเฟิร์ม กล้ามเนื้อกระชับ มีสัดส่วนชัดเจน รูปร่างสวยงาม
– เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เผาผลาญได้มากขึ้น : กล้ามเนื้อก็คือเตาเผาในร่างกายค่ะ ยิ่งคุณมีมวลกล้ามเนื้อมากจะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญให้สูงขึ้น แม้ขณะอยู่เฉยๆ ความได้เปรียบของคนที่ยกเวทก็คือจะไม่อ้วนง่ายเหมือนคนที่ทำคาร์ดิโออย่างเดียวค่ะ
– ลดไขมันสะสมในร่างกาย : อย่างข้อ 2 คือเมื่อกล้ามเนื้อเพิ่ม การเผาผลาญเพิ่มจะสามารถช่วยลด %bodyfat ลงได้ ซึ่งการที่ลดไขมันสะสมในร่างกายก็ส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายๆ ด้านด้วยค่ะ
– กระดูก และข้อต่อแข็งแรง : ยังคงมีความเชื่อที่ว่ายกเวทแล้วเป็นอันตรายต่อกระดูก และข้อต่อ แต่ในความเป็นจริงการเวทที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดีกว่าการคาร์ดิโออย่างเดียวค่ะ
– กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันการบาดเจ็บ : ประโยชน์ตรงๆ ของการเวทเลยก็คือการบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง การเวทให้กล้ามเนื้อแข็งแรงช่วยลดการบาดเจ็บต่างๆ เช่น ปวดหลังล่าง ปวดคอบ่าไหล่ ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นหรือออกกำลังกายท่าต่างๆ เล่นกีฬาต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
– บุคลิกภาพดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจ : การยกเวทจะช่วยกระตุ้นสาร Endorphins ซึ่งจะทำให้รู้สึกดีขึ้น หนึ่งในอาการของโรคซึมเศร้าที่อาจพบได้นั่นก็คือการขาดความมั่นใจในตัวเอง โดยอาจมาจากรูปร่างที่ไม่กระชับ ไม่มั่นใจในรูปร่าง ซึ่งมีงานวิจัยที่บอกว่าการยกเวทสามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้ แถมยังเสริมสร้างความมั่นใจอีกด้วย เพราะเมื่อคุณมีรูปร่าง และบุคลิกภาพที่ดีขึ้นจะทำให้เกิดความมั่นใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ

การเวทเทรนนิ่งมีประโยชน์มากมาย มันไม่ใช่การออกกำลังกายแค่รูปร่างหรือแค่คนอยากมีกล้ามเท่านั้น เวทเทรนนิ่งคือการออกกำลังกายพื้นฐานในชีวิตประจำวัน สามารถเวทได้ทุกเพศ และทุกวัย

เมนูข้าวเหนียวมะม่วง

หวานทั้งข้าวเหนียวมูน และมะม่วงสุกแบบนี้ กินมากไปก็ไม่ดี น้ำหนักจะขึ้นเอาง่ายๆ โรคอ้วน โรคเบาหวานจะตามมาโดยไม่รู้ตัว สำหรับใครที่ชอบกินข้าวเหนียวมะม่วงมากๆ ต้องระวังอย่ากินข้าวเหนียวกระทิมากเกินไปด้วยความเป็นห่วงนะคะ

การปรุงอาหารเปลี่ยนน้ำหนักอาหารอย่างไร

หลายคนคำนวณสารอาหาร ชั่งตวงอาหารต้องเช็คดีๆ ว่าชั่งจากปริมาณสุกหรือดิบ เพื่อที่สารอาหารที่คุณต้องการในแต่ละวันจะได้เป็นไปตามแผนค่ะ

‘น้ำ’ สำคัญกับชีวิตเราแค่ไหนและทำไมเราต้องดื่มน้ำ

นอกจากอากาศ และอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว “น้ำ” ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตรองลงมาที่ร่างกายจะขาดไม่ได้ เพราะว่าน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายถึง 70% มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์หากขาดอาหาร แต่จะอยู่ได้เพียงไม่กี่วันหากขาดน้ำ ซึ่งการดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 8 แก้วต่อวันก็ถือว่าดีต่อสุขภาพ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการสร้างความสดชื่นให้กับร่างกาย ขับของเสีย ช่วยลดอุณภูมิ และการไหลเวียนโลหิต

นี่เป็นเพียงบางส่วนของประโยชน์ที่ได้จากการดื่มน้ำเท่านั้น ในเมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว คนที่อยากจะเริ่มดูแลสุขภาพให้ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และผิวพรรณ การดื่มน้ำถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทั้งง่าย สะดวก ราคาไม่แพง เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แค่นี้ก็ถือเป็นการบำรุงร่างกาย และดูแลสุขภาพไปในตัวค่ะ