Body Project Official

อิ่มเหมือนกัน แต่ประโยชน์ต่างกัน

อยากลดไขมัน หุ่นฟิต&เฟิร์มกินยังไง?
อย่างช่องของ Body Project บอกเพื่อนๆ มาตลอดการจะลดไขมัน คุณต้องคำนึงถึงสารอาหาร
 
ต่อให้คุณออกกำลังกายหนักแค่ไหน แต่ถ้าคุณกินอาหารที่ไม่มีสารอาหาร กินโปรตีนไม่เพียง หุ่นก็ไม่เฟิร์ม การกินปริมาณน้อยใช่ว่าจะลดไขมันเพราะอาหารส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยคาร์บ ไขมัน และอาหารบางอย่างก็มีปริมาณน้ำตาลสูง ต่อให้มีคุณค่าทางอาหารก็ไม่ได้ช่วยในเรื่องของหุ่น
 
เพราะถ้าคุณอยากลดไขมัน หุ่นเฟิร์ม โดยไม่สนใจตัวเลขบนตาชั่ง สารอาหารจำเป็นมาก โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ การที่คุณกินอาหารคลีนก็ตอบโจทย์ค่ะ อาหารคลีนก็คืออาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด โดยเน้นสารอาหาร โปรตีน คาร์บ ไขมันดี ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับร่างกาย เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง แต่แคลอรี่ต่ำ หรือนิยามอาหารคลีนของ Body Project คือ 1) โปรตีนต้องมากกว่าคาร์บและไขมัน 2) แคลต่ำ ซึ่งถ้าคุณเข้าใจคอนเซ็ปต์ตรงนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ก็สามารถกินอาหารคลีนได้ค่ะ เพราะสำหรับคนที่ไม่สะดวกทำอาหารเอง ต้องกินอาหารนอกบ้าน ก็เลือกอาหารที่คลีนได้
 
ยกตัวอย่าง 2 รูปนี้ ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสจะเห็นว่ามีแต่ลูกชิ้น อาหารแปรรูปทั้งนั้น สารอาหารต่ำ กินไปร่างกายก็ไม่ได้มาใช้ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ได้รับแต่พลังงาน การกินแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์กับหุ่นเลยค่ะ แต่ถ้าคุณเลือกเมนูใหม่เป็นเกาเหลาเนื้อสดแทน ก็ได้รับโปรตีน แนะนำว่าสั่งไม่ใส่กระเทียวเจียวก็จะลดพลังงานลงเยอะ แล้วก็สั่งพิเศษเนื้อยิ่งดีเลยค่ะ แค่นี้ก็เข้าคอนเซ็ปต์อาหารคลีนแล้วค่ะ เห็นไหมว่าการกินคลีนไม่ได้ยุ่งยาก ไม่ใช่กินอาหารจืดๆ ไม่อร่อยๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือการฉลาดเลือกกินค่ะ คุณกินแบบนี้ทุกมื้อ เน้นโปรตีน ไม่กินจุกกินจิก ควบคู่กับการเวทเทรนนิ่งที่ถูกต้อง และคาร์ดิโอสม่ำเสมอจะทำให้คุณหุ่นดีแบบยั่งยืน

กินบุฟเฟต์อย่างไร ขณะคุมน้ำหนัก

เคยกังวลเรื่องการกินบุฟเฟ่ต์กันบ้างไหม?
คุมน้ำหนักอยู่ กำลังดีๆ เพื่อนก็ชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ ปฏิเสธก็ไม่ได้ แต่คั้นจะกินทั้งทีก็ต้องกินให้คุ้ม จนสุดท้ายน้ำหนักขึ้น หุ่นพัง ไม่รู้ตัว

วันนี้ Body Porject เลยมาแนะนำทริคการกินบุฟเฟ่ต์มาฝากกัน ว่ามีวิธีอะไรบ้างที่สามารถกินได้คุ้ม กินได้อร่อย แต่ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น หุ่นพัง มีความสุขทั้งเรา และเพื่อน แต่ที่สำคัญกินเเล้วอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะคะ

ความแตกต่างระหว่าง ลดน้ำหนัก VS ลดไขมัน

ความแตกต่างระหว่าง ลดน้ำหนัก VS ลดไขมัน
 
สิ่งที่หลายคนลดน้ำหนักแบบผิดๆ ก็คือ
– กินน้อยๆ แต่ไม่มีสารอาหาร
– กินแต่สลัดผัก ผลไม้
– งดข้าว งดแป้ง
– กินโปรตีนไม่เพียงพอ
– คาร์ดิโออย่างหักโหม
– ไม่เวทเทรนนิ่ง
– สนใจแต่น้ำหนักบนตาชั่ง
– ไม่สนใจสัดส่วนร่างกายว่าจะเป็นยังไง
 
ถ้าเพื่อนๆ ลดน้ำหนักแบบนี้ ในช่วงแรกน้ำหนักลดลงก็จริง เพราะร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยลงจากเดิม แต่สิ่งที่ลงก็จะเป็นน้ำในร่างกาย กล้ามเนื้อ ซึ่งไขมันก็ลดลง แต่น้อยมาก การที่คุณกินน้อย แต่สารอาหารต่ำ กินโปรตีนไม่เพียงพอ ร่างกายได้รับพลังงานจากการกินน้อยกว่าค่า BMR ค่าที่ร่างกายต้องการพื้นฐาน ทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ทำให้คุณสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ส่งผลต่อระบบเผาผลาญโดยตรง เมื่อคุณเผาผลาญต่ำลง คุณก็จะลดไขมันยาก แถมอ้วนง่ายขึ้น และภูมิต้านทานต่ำก็จะป่วยง่ายด้วยนะ
การลดน้ำหนักให้มีคุณภาพ เพื่อนๆ ต้องโฟกัสที่การลดไขมัน เมื่อ %ไขมันในร่างกายลดลง
คุณก็จะผอมลงนั่นเอง ผอมแบบเฮลตี้ ตัวไม่ย้วย เนื้อไม่พับ และไม่โยโย่
 
แล้วจะลดไขมันยังไง อ่านจบแล้วนำไปทำตามกันเลย รับรองเห็นผล
– แน่นอนว่าทุกคนหนีกฎความจริงนี้ไม่ได้ การจะลดไขมัน คุณต้องได้รับพลังงานจากการกิน น้อยกว่า พลังงานที่ใช้ในแต่ละวันจะทำให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาใช้
– กินโปรตีนให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อไม่ให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ขณะอยู่ในช่วงไดเอท
– เวทเทรนนิ่งเพื่อรักษา/เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเป็นเตาเผาผลาญไขมัน ยิ่งกล้ามเนื้อเยอะ ยิ่งเผาผลาญได้เยอะ
– เวทเทรนนิ่งเพื่อให้หุ่นดี ฟิต&เฟิร์ม ตัวไม่ย้วย เนื้อไม่พับ ผอมแต่ไม่โทรม ดูสุขภาพดี
– คาร์ดิโอสม่ำเสมอ แต่ไม่ต้องคาร์ดิโอจนหักโหม เยอะๆ นานๆ เพราะนอกจากคุณจะเครียด ร่างกายก็เครียด ทำให้ยิ่งเก็บไขมัน
– กินผักเยอะๆ เติมวิตามิน แร่ธาตุให้ร่างกายให้รู้สึกอิ่มท้อง ไม่หิวบ่อย ลดการกินจุกจิก จำเป็นมากๆ ในช่วงไดเอท
– พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนก็สำคัญมากๆ ในช่วงคุณหลับร่างกายได้เสริมสร้าง/ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และระบบต่างๆ ฟังก์ชั่นได้ดี
– ลด/งดของที่ไม่จำเป็นกับร่างกาย เช่น ขนมขบเขี้ยว ของหวาน อาหารขยะ อาหารแปรรูปทุกอย่าง
 
สุดท้ายถ้าอ่าน แต่ไม่ทำตามก็ไม่ช่วยอะไรนะคะ ตั้งใจทำทุกข้อให้เต็มที่ แล้วผลลัพธ์จะมาเองค่ะ

กระชับหุ่นให้ดูดียกกี่ครั้ง

เวทเทรนนิ่งให้หุ่นเฟิร์ม กระชับทั่วร่าง ต้องยกกี่ครั้ง กี่เซต?
 
ก่อนหาจำนวนครั้ง จำนวนเซต เพื่อนๆ ต้องเซตเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนว่า คุณเวทเทรนนิ่งไปเพื่ออะไร การฝึกแต่ละอย่างก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคน
เป้าหมายในการฝึกเวทเทรนนิ่ง (ตามรูป)
1) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
2) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
3) เพื่อเพิ่มความทนทาน
 
Body Project เชื่อว่าสาวๆ มีเป้าหมายในใจกันอยู่แล้วใช่ไหมคะว่าอยากได้หุ่นแบบไหน งั้นไม่รอช้ามาทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันเลย
Endurance
เป็นการฝึกที่เน้นสร้างความทดทาน ความอึดให้กล้ามเนื้อ โดยจะใช้น้ำหนักไม่มาก (Low Intensity) เล่นจำนวนครั้งได้มาก 12-20 ครั้ง ,2-4 เซต รูปแบบการฝึกนี้อาจจะเหมาะกับกีฬาที่ต้องใช้ความอึดสู้กับระยะทางไกล อย่างเช่น วิ่งมาราธอน ,ฟุตบอล ,ปั่นจักรยานไกลๆ เป็นต้น เพราะการฝึกความทนทานให้กับกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้คุณเล่นกีฬาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และออกกำลังกายได้ในระยะเวลานานๆ
 
Hypertrophy
เป็นการฝึกที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างมวลกล้ามเนื้อ ขนาดของกล้ามเนื้อ ให้คุณมีรูปร่างที่ดูดีขึ้น โดยน้ำหนักที่ใช้ปานกลาง (Moderate Intensity) เล่นจำนวนครั้ง 6-12 ครั้ง ,3-5 เซต สาวๆ ที่อยากฟิต & เฟิร์ม หุ่นดีสไตล์นางแบบ เน้นฝึกรูปแบบนี้ค่ะ
 
Strength
เป็นการฝึกที่เน้นเพิ่มความแข็งแรง โดยใช้น้ำหนักในการฝึกที่มากๆ (High Intensity) เล่นจำนวนครั้ง 1-5 ครั้ง ,3-10 เซต การฝึกรูปแบบนี้เห็นได้ในนักกีฬายกน้ำหนัก แต่!! สาวๆ ไม่ต้องกลัวนะคะว่าฝึกแล้วจะตัวใหญ่ การฝึกรูปแบบนี้ก็เพื่อฝึกระบบประสาทเอาไว้สั่งการกล้ามเนื้อ ทำให้คุณสามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ดี และออกแรงได้เยอะขึ้น แพรวเองฝึก Strength มาหลายปีแล้ว ผลลัพธ์คือร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเยอะมากค่ะ
ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะฝึกอยู่รูปแบบ 1 และ 2 ทำให้มีหุ่นกระชับๆ เฟิร์มๆ แต่แนะนำสาวๆ ฝึกให้ครบทุกรูปแบบจะได้ทั้งหุ่นดี และมีสมรรถภาพร่างกายที่ดีด้วยค่ะ
 
สุดท้ายวางแผนเวทเทรนนิ่งแล้วคุมแคลอรี่อาหาร และคาร์ดิโอสม่ำเสมอด้วยนะ %ไขมันลดลงก็จะเห็นกล้ามเนื้อสวยๆ ร่อง 11 ที่ท้องมาแน่นอนค่ะ

ลดน้ำหนักกินฝั่งไหน?

เพื่อนๆ หลายคนกลัวการ “กินข้าว” เพราะเข้าใจว่ากินข้าวแล้วจะทำให้อ้วน
 
ซึ่งในความเป็นจริงข้าวมีคุณประโยชน์มาก และให้แคลอรี่น้อย ข้าว 100 กรัม ให้พลังงาน 130 Kcal ในขณะที่อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแบบเดียวกัน ในปริมาณเท่ากันให้แคลอรี่สูงกว่าข้าวทั้งนั้น อย่างเช่น ขนมปัง ให้พลังงาน 267 Kcal ,คอนเฟลก ให้พลังงาน 365 Kcal กราโนร่า ให้พลังงาน 471 Kcal เป็นต้น หลายคนที่ไดเอทด้วยการอดข้าว ไม่กล้ากินข้าว กินแต่ผัก ผลไม้ หรือกินอาหารเฮลตี้อย่างซีเรียล กราโนร่า คอนเฟลก พวกนี้แทน ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลสูง ทำให้อ้วนลงพุงได้
 
สรุปแล้วข้าวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ไม่ว่าเพื่อนๆ จะกินอะไรก็อ้วนได้ทั้งนั้น ถ้าคุณกินแคลอรี่เกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวันค่ะ

หุ่นสวยได้ ถ้าเข้าใจโครงสร้างตัวเอง

เพื่อนๆ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไม่คนนี้กินอะไรก็ไม่อ้วน เรากินแค่นี้ทำไมอ้วนเร็วจัง ทำไมคนนี้หุ่นดีจัง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย
 
โพสต์นี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคนรูปร่างต่างๆ หรือ Body Type มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ Body Type คือ ลักษณะทางโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งเป็นผลมาจากพันธุกรรม แบ่งหลักๆ ได้เป็น 3 ประเภท
1. รูปร่างผอม เอกโตมอร์ฟ (Ectomorph)
– ลักษณะของคนที่มีรูปร่างประเภทนี้
กระดูกเล็ก ผอม ดูแขนยาว ขายาว ไหล่แคบ สะโพกเล็ก กล้ามเนื้อมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับความยาวของกระดูก มีไขมันสะสมในร่างกายน้อย และมีเมตาบอลิซึม (Metabolism) ที่ดี ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานได้ดี และไวมาก
– คนที่มีลักษณะประเภทนี้
ควรเวทเทรนนิ่งแบบ Heavy Weights & Low Reps คือใช้น้ำหนักที่มาก แต่จำนวนครั้งน้อย คาร์ดิโอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ อาหารที่ทานเน้นไปทางคาร์โบไฮเดรต ตามด้วย โปรตีน และไขมันดีค่ะ
 
2. รูปร่างสมส่วน เมโซมอร์ฟ (Mesomorph)
– กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีรูปร่างที่หลายคนใฝ่ฝันเลยค่ะ
คนกลุ่มนี้จะมีกระดูกขนาดกลาง กล้ามเนื้อสมบูรณ์ แข็งแรง โครงสร้างโดยรวมดูสวยงาม รูปร่างเหมาะที่จะเป็นนักกีฬา เพิ่ม/ลด น้ำหนักสามารถทำได้ง่าย สร้างกล้ามเนื้อได้ง่าย แต่สะสมไขมันได้ง่ายกว่าคนกลุ่ม Ectomorph
– คนที่มีลักษณะประเภทนี้
ออกกำลังได้หลายรูปแบบการเวทเทรนนิ่ง สามารถใช้น้ำหนักที่เยอะ และจำนวนครั้งที่มากได้ ควรที่จะเวทเทรนนิ่งควบคู่กับการคาร์ดิโอไปด้วยกัน และควบคุมอาหารที่แคลอรี่สูงๆ เพราะคนกลุ่มนี้ไขมันสะสมได้ง่ายกว่า Ectomorph ค่ะ
 
3. รูปร่างอ้วน เอนโดมอร์ฟ (Endomorph)
– ลักษณะของคนกลุ่มนี้
ดูตัวกลม ตัวนิ่ม แขน ขาดูสั้นมีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีไขมันสะสมในร่างกายมาก มีเมตาบอลิซึม (Metabolism) ที่ต่ำ จึงทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ช้า
– คนที่มีลักษณะประเภทนี้
ควรฝึกเวทเทรนนิ่งแบบ High Sets & High Reps คือการฝึกแบบ น้ำหนักปานกลาง จำนวนครั้ง และจำนวนเซตเยอะ พักระหว่างเซตน้อย ควบคู่กับการคาร์ดิโอไปด้วยในแต่ละวัน เพื่อที่จะไปช่วยในเรื่องระบบเผาผลาญได้ดีขึ้น และควรระวังการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก จะมีผลต่อข้อต่อต่างๆ ค่ะ เนื่องจากมีน้ำหนักตัวมาก ควรหลีกเลี่ยงอาหารแคลอรี่สูงๆ และเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และน้ำตาลสูง เน้นไปทางด้านโปรตีนค่ะ
 
การเป็น Ectomorph ไม่ได้หมายความว่าคุณจะอ่อนแอ หรือ Endomorph จะไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ ทุกโครงสร้างยังคงแข็งแกร่งได้ เป็นคนที่ฟิต และสุขภาพดีได้ ทุกคนมีหุ่นที่สวย ในแบบของตัวเองได้ ถ้าคุณเข้าใจตัวเองค่ะ ดังนั้น เลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อตัวคุณเองนะคะ

ออกกำลังกายคุมโซน Heart Rate เท่าไหร่ดี จึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

ออกกำลังกายคุมโซน Heart Rate เท่าไหร่ดี จึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
หากคุณกำลังมีอาการเหนื่อยหอบ รู้สึกหายใจไม่ทันขณะกำลังออกกำลังกาย หรือสงสัยว่าการออกกำลังกายที่ฝึกซ้อมอยู่มีระดับความเข้มข้นเพียงพอที่จะส่งผลดีต่อร่างกายหรือไม่ ออกกำลังกายหนักไป หรือเบาไปรึเปล่า เมื่อคุณมองไปรอบๆ คนที่อยู่ข้างๆ คุณนั้นแทบจะไม่มีเหงื่อแตกออกมาเลย ในขณะที่คนข้างหน้าเปียกโชกทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘เหงื่อ’ อาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย แต่ ‘หัวใจ’ ของคุณต่างหากที่จะบอกคุณได้
 
ทำไมต้องตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ?
อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate) เป็นสิ่งที่จะช่วยตอบคำถามที่ทุกคนสงสัยข้างต้นได้อย่างแม่นยำ และชัดเจนที่สุด เมื่อคุณออกกำลังกายหัวใจของคุณจะเต้นเร็วขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการเลือด และออกซิเจนที่มากขึ้นของกล้ามเนื้อในร่างกาย ยิ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเข้มข้นมากเท่าไหร่หัวใจของคุณก็จะยิ่งเต้นเร็วมากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจในระหว่างการออกกำลังกาย จึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการติดตามระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นส่วนใหญ่จะมีความเข้มข้นของการออกกำลังกายที่หลากหลาย ดังนั้น หากตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจให้เหมาะสมกับการออกกำลังกายแต่ละประเภท และเหมาะสมกับเป้าหมายในการออกกำลังกายก็จะทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น ในการกำหนดช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่ดีที่สุด คุณจะต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ 2 คำนี้
1. อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Maximal Heart Rate – MHR) ตัวเลขนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘อายุ’ ของคุณด้วยในขณะที่คุณมีอายุมากขึ้น หัวใจของคุณจะเริ่มเต้นช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เพศ ,ประเภทกีฬา ที่มีผลต่อค่าประมาณอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดแต่ละคน
มีผู้คิดค้นสูตรคำนวณ Max Heart Rate ไว้หลายสูตร ซึ่งแต่ละสูตรมีความแม่นยำที่แตกต่างกัน
* สูตรที่ใช้อายุ : คิดค้นโดย Fox เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ผลการวิจัยพบว่ามีความแม่นยำน้อยกว่าสูตรของ Tanaka
* สูตรที่ใช้อายุ เพศ และกิจกรรมที่ทำ : คิดค้นโดย Tanaka เป็นสูตรที่มีการทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์กับสูตรของ Fox ผลปรากฏว่ามีความแม่นยำมากกว่า
2. โซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย (Target Heart Rate Zone) นี่คือจำนวนการเต้นต่อนาที (bpm) ที่หัวใจของคุณควรเต้นในระหว่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิค “สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ช่วงที่ดีที่สุดคือ 50 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Zone1 – Zone3)”
 
ดังนั้นหากอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดของคุณคือ 180 bpm ค่าต่ำสุดของช่วง (50 เปอร์เซ็นต์) จะเท่ากับ 90 bpm และค่าสูงสุดของช่วง (80 เปอร์เซ็นต์) จะเป็น 144 bpm
Heart Rate Zone แต่ละช่วงจะให้ประโยชน์กับร่างกายที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราควรกำหนดเป้าหมายในการออกกำลังกายให้ชัดเจน แล้วเน้นออกกำลังกายให้มีอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีอยู่ในช่วงโซนนั้น ตัวอย่างเช่น
* ออกกำลังเพื่อรักษาสุขภาพ ฟื้นฟูร่างกาย ควรออกกำลังกายเบาๆ ให้อยู่ในโซน 1
* เน้นลดน้ำหนัก ลดไขมัน ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 2
* เน้นความฟิต เพิ่มความแข็งแกร่ง ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 3 หรือโซน 4
* เน้นการแข่งขัน ทรหดอดทน ควรออกกำลังกายให้อยู่ในโซน 5
สามารถดูข้อมูลประโยชน์ของการออกกำลังกายทั้ง 5 โซนได้จากภาพ
 
‘ช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่แนะนำ’ หมายความว่าอย่างไร
ตอนนี้คุณได้ทราบโซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมายแล้ว คุณจำเป็นต้องรู้วิธีนำข้อมูลนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะใช้เป็นแนวทางเพื่อบ่งบอกว่า คุณควรออกกำลังกายหนักแค่ไหน
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายแบบแอโรบิก ควรตั้งเป้าหมายไว้ที่จุดต่ำสุดของโซน และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวจนรู้สึกออกกำลังกายได้อย่างสบายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการความฟิต หรือผู้ที่กำลังฝึกซ้อมเพื่อการแข่งขัน อาจต้องตั้งเป้าหมายไปที่ตัวเลขท้ายสุดของโซน จากที่กล่าวไปในตอนต้นของบทความว่า ‘อายุ’ ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ดังนั้นแต่ละช่วงวัยจึงมีค่าอัตราการเต้นของหัวใจในแต่ละโซนที่ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจโซน 2
* Heart Rate Zone 2 ของคน อายุ 20 อยู่ที่ 120 bpm
* Heart Rate Zone 2 ของคน อายุ 30 อยู่ที่ 114 bpm
* Heart Rate Zone 2 ของคน อายุ 40 อยู่ที่ 108 bpm
* Heart Rate Zone 2 ของคน อายุ 50 อยู่ที่ 102 bpm
* Heart Rate Zone 2 ของคน อายุ 60 อยู่ที่ 96 bpm
 
สำคัญ!
โปรดทราบว่า นี่เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ หรือมีปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
วิธีตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจหลากหลายมาก แต่อุปกรณ์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็คือ ‘สมาร์ทวอช’ ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ แต่จุดของร่างกายที่สะดวกที่สุดในการตรวจจับชีพจร คือ นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง และอีกจุดคือบริเวณด้านข้างของลำคอ
วิธีเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ การนับชีพจรด้วยการใช้สองนิ้วแรกของมือเดียวกัน แตะไปบริเวณที่มีหลอดเลือด ที่พบเห็นได้บ่อยก็คือบริเวณข้อมือ ควรจับชีพจรทันทีหลังจากออกกำลังกาย และนับจำนวนการเต้นของชีพจรในระยะเวลา 10 วินาที จากนั้นนำมาคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที โดยนำจำนวนการเต้นต่อ 10 วินาที มาคูณด้วย 6 ตัวอย่างเช่น หากนับชีพจร 10 วินาทีได้เท่ากับ 20 ดังนั้นอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็น 120 bpm (20 x 6)
 
บทสรุป
จำไว้ว่าโซนอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมายเป็นเพียงค่าโดยประมาณเท่านั้น หากคุณรู้สึกว่าตัวเองออกกำลังกายหนักเกินไป ให้ลองลดความเข้มข้นในการออกกำลังกาย หรือการเล่นกีฬา แล้วลองหาช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมกับตัวเองด้วยการลดตัวเลขควบคู่ไปกับการวัดจากความรู้สึกขณะออกกำลังกาย